การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
นักพัฒนาหลักสูตรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้น
- ความรู้ (K) - ผู้เรียน ( L) - สังคม (S)
พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตร
- ความรู้ (K) - ผู้เรียน ( L) - สังคม (S)
พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรได้มีผู้ให้แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรมากมาย
เช่น ไทเลอร์ (Tyler) ทาบา (Taba) โอลิวา
(Oliva) เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ (Saylor &
Alexander) โบแชมป์ (Beauchamp) เป็นต้น
จากแบบจำลองของนักพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว จึงสรุปเป็นแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร
และออกแบบหลักสูตร (SU Model) ดังนี้
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร
และการออกแบบหลักสูตร ( SU Model)
SU
Model คือ รูปแบบจำลองโลกแห่งการศึกษา
โดยประกอบด้วยวงกลม ซึ่งเปรียบเสมือนโลกที่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ 1) พื้นฐานทางปรัชญา 2) พื้นฐานทางจิตวิทยา และ 3) พื้นฐานทางสังคม
โดยมีสามเหลี่ยมแห่งการศึกษาที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่
1.
พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษา คือแนวความคิด
หลักการ และกฎเกณฑ์ในการกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษา ซึ่งนักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นอกจากนี้ปรัชญาการศึกษาพยายามทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา
ทำให้สามารถมองเห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่างชัดเจน
ปรัชญาการศึกษาจึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนินการทางการศึกษาดำเนินการทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ
ชัดเจน และสมเหตุสมผล
ปรัชญาการศึกษา
สามารถแบ่งเป็นยุคสมัยได้ดังนี้
ยุคสมัยเก่า เน้นความรู้ (Knowledge)
โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาสารัตถนิยมหรือสาระนิยม (essentialism) เป็นปรัชญาที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาทั่วไปสาขาจิตนิยม (idealism) และสัจนิยม (realism) ถือว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
และเป็นเครื่องมือของสังคม และสืบทอดวัฒนธรรมของสังคมให้คงอยู่ต่อไป
การจัดการศึกษาตามแนวคิดนี้จึงมีลักษณะเป็นการถ่ายทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของสังคม
เนื้อหาวิชาที่นำมาสอนจะเป็นการเตรียมผู้เรียนให้มีชีวิตที่ดี เช่น การอ่าน
การเขียน เลขคณิต ประวัติศาสตร์วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น
ปรัชญานิรันตรนิยม (parennialism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า สิ่งที่มีความคงทนถาวร
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
การจัดการศึกษาจึงควรให้เรียนในสิ่งที่ดีงาม มั่นคง มีเสถียรภาพ
เนื้อหาวิชาที่เรียนจะเป็นวิชาที่พัฒนาเชาวน์ปัญญาและจิตใจ เช่น วิทยาศาสตร์
ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรณ์ศิลปะการพูด คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์
และดนตรี
ยุคสมัยปัจจุบัน เน้นผู้เรียน (Learner)
โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาอัตนิยม
หรือปรัชญาอัตถิภาวนิยม หรือปรัชญาสวภาพนิยม(existentialism) ปรัชญานี้ มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของคน
สภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
ทุกคนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองจึงเน้น การอยู่เพื่อปัจจุบัน
การปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคม เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
ได้อยู่อย่างมีความสุขการจัดการศึกษาจึงให้ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ การตัดสินใจ
สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพในการเรียน
และเลือกเรียนมีความรับผิดชอบในตนเอง
แนวคิดใหม่ เน้นสังคม (Society)
โดยใช้ปรัชญาการศึกษา ดังนี้
ปรัชญาปฏิรูปนิยม(reconstructionism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าการศึกษาควรจะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยตรง
เน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างสังคมให้ดี รู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ดังนั้นผู้เรียนต้องหาประสบการณ์ด้วยตนเองให้มาก
การจัดหลักสูตรยึดอนาคตเป็นศูนย์กลาง มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้
ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น
2. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
ข้อมูลพื้นฐานทางจิตวิทยาเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์
หรืออาศัยนักจิตวิทยาให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำหลักสูตร
ในประเด็น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร คาบเรียน เกณฑ์อายุมาตรฐานการเข้าเรียน
การจัดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ พื้นฐานทางด้านจิตวิทยาในการพัฒนาหลักสูตรมีดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorist
theory) มีความเชื่อว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อ
พฤติกรรมของมนุษย์นั้นน่าจะมาจากสิ่งเร้าใน สภาพแวดล้อม นั่นคือ
ถ้าครูสามารถจัดสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม
(Cognitivist
theory) นักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยมให้ความสนใจในการศึกษาปัจจัยภายในตัวบุคคลที่เรียกว่าโครงสร้างทางปัญญา
(cognitive structure) ที่มีผลต่อความจำ
การรับรู้และการแก้ปัญหาของบุคคล การกระทำต่าง ๆ ของบุคคลนั้นเกิดขึ้นจากตัวบุคคลนั้นเองไม่ใช่เกิดจากเงื่อนไข
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivationtheory)
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivationtheory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่ยอมรับว่าการเรียนรู้เกิดจากการกำหนดเงื่อนไขและกลไกต่าง
ๆ แต่เขาให้ความสนใจในลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคลโดยเน้นสิ่งที่เรียกว่าตัวตน
(self) ตลอดจนความมีอิสรภาพการที่ บุคคลได้มีโอกาสเลือก การกำหนด้วยตนเอง (self
determinism) ตามแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้จะเน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสรรค์สร้างนิยม (Constructivism theory) เป็นปรัชญาการศึกษาที่ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งความรู้นี้จะฝังติดอยู่กับคนสร้าง
ดังนั้นความรู้ของแต่ละคนเป็นความรู้เฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นเองเท่านั้น โดยนักเรียนจะเป็นผู้กำหนดหรือมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่จะเรียนและวิธีการเรียนของตนเอง และเป็นผู้ตัดสินว่าตนเองจะได้เรียนรู้อะไร
เรียนรู้อย่างไรและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่างไร
สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในบริบทอื่นได้อย่างเหมาะสม เรียนรู้จากการปฏิบัติมีอิสระในการคิดและทำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง
และเรียนรู้บรรยากาศการเรียนที่มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ภายใต้การอำนวยความสะดวกของครู
3. พื้นฐานทางด้านสังคม
บทบาทหน้าที่ที่สำคัญของการศึกษา
คือการอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามและสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางสังคมให้สอดคล้อง
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยากรด้านต่าง ๆ รวมทั้ง
สนองความต้องการและช่วยแก้ปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ ดังนั้นการศึกษา
จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่พึ่งปรารถนา
การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องให้มีความสอดคล้องกับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยนได้อยู่เสมอ
จึงจะสามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสังคม
หนังสือคลื่นลูกที่
5
ปราชญ์สังคม ของเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการคลื่นลูกที่ห้าอันเป็นคลื่นของสังคมแห่งอนาคต
ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง
คลื่นลูกใหม่ๆจะเกิดขึ้นตามมาอีก อันเป็นวัฏจักรธรรมชาติของมนุษย์
เมื่อประมวลภาพที่นักอนาคตวิทยาพยายามฉายภาพให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วสามารถสรุปลักษณะของพัฒนาการของสังคมและพฤติกรรมการสื่อสารในยุคต่างๆได้ดังนี้
1.
ยุคสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society)
เป็นสังคมเชิงซ้อนที่มีสมาชิกในครัวเรือนอยู่ร่วมกันหลายรุ่น รู้จักทำการเพาะปลูก
เลี้ยงสัตว์ สังคมอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
การจัดการศึกษาจะสอนการดำรงชีวิตตามสภาพ
2. ยุคสังคมอุตสาหกรรม (Industrial Society)
ในยุคนี้สังคมมีการพัฒนาแปรรูปเป็นสังคมเชิงเดี่ยว
มีการใช้แรงงานเด็กและสตรนโรงงาน
เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรม
การจัดการศึกษาใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือทำเป็นขั้นตอน จัดระบบเป็นหมวดหมู่
เป็นระเบียบ
3.
ยุคสังคมข่าวสาร (Information Society)
สังคมในยุคนี้มีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ ด้านเครือข่ายการสื่อสารและคมนาคม
ทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
มนุษย์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยในการสืบค้นข้อมูล
จัดเก็บสารสนเทศเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้สะดวกรวดเร็วช่วยนกในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
4.
ยุคสังคมฐานการเรียนรู้ (Knowledge based Society) ในยุคนี้ทุกคนถูกบังคับให้ต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามลำดับ
โดยมีความรู้เป็นแกนสำคัญที่ช่วยให้เกิดการปรับตัวไปในทิศทางที่เหมาะสม
ดังนั้นสภาพของแรงงานในยุคนี้จะเป็นแรงงานที่มีความรู้
5.
ยุคสังคมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence society) จะเน้นการใช้ปัญญาควบคู่กับการพัฒนา
ความสำเร็จของประเทศและสังคมในยุคนี้ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนทรัพยากรธรรมชาติหรือวัตถุดิบใดๆ
แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถและวิสันทัศน์ทางปัญญาของประชาชนและผู้นำในสังคมที่สามารถบริหารจัดการให้เกิดการพัฒนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้สังคมอนาคตของมนุษยชาติ
นอกจากนั้นในปัจจุบันได้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งมีผลต่อการจัดการศึกษา
จึงได้กำหนดพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนี้
พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
นักพัฒนาหลักสูตรจึงต้องใช้ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประกอบการกำหนดเนื้อหาของหลักสูตร
และวิธีการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือกำหนดเนื้อหาที่พอเพียง ทันสมัย
ให้ผู้เรียนได้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
กำหนดให้ใช้วิธีการและสื่อการเรียนที่มีความทันสมัย
พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรใน 2 ลักษณะคือ
1.
เป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในสังคม
2.
การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามเหลี่ยมแห่งการศึกษามีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่
1.
K
= ด้านความรู้ (Knowledge) กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม
ประเพณี และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Parennialism) ที่มีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุผล
เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระที่มั่นคง
2.
L
= ด้านผู้เรียน (Learner) กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ซึ่งมีแนวคิดที่ให้บุคคลมีเสรีภาพในการเลือกด้วยตนเอง
มีแนวทางการจัดการศึกษาโดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
3.
S
= ด้านสังคม (Society) จะกำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม
(Reconstructionism) โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนควรเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม
เนื่องจากสังคมมีปัญหา
ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต้องตอบสนองด้านผู้เรียน
ด้านสังคมและด้านความรู้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานทางการพัฒนาที่สำคัญ คือ
พื้นฐานทางสังคม
พื้นฐานทางจิตวิทยาและพื้นฐานทางปรัชญาและภายในสามเหลี่ยมการศึกษาจะประกอบด้วยสามเหลี่ยมเล็กๆ
4 ภาพ
ซึ่งเป็นการจำลองขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ ทาบา
เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ ออร์น สไตน์และฮันกิน โอลิวา วิชัย วงษ์ใหญ่
และนักพัฒนาหลักสูตรอื่นๆ (ไม่สามารถกล่าวนามได้ทั้งหมด) นำแนวคิดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมากำหนดชื่อสามเหลี่ยมเล็กๆทั้งสี่รูป
โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต้องตอบสนองด้านผู้เรียน
ด้านสังคมและด้านความรู้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานทางการพัฒนาที่สำคัญ คือ
พื้นฐานทางสังคม
พื้นฐานทางจิตวิทยาและพื้นฐานทางปรัชญาแภในสามเหลี่ยมการศึกษาจะประกอบด้วยสามเหลี่ยมเล็กๆ4 ภาพ ซึ่งเป็นการจำลองขั้นตอนในการจัดทำหลักสูตรของTyler โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตอนที่ 1 คือ การวางแผน (Planning) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยความรู้(Knowledge) และจะสอดคล้องกับคำถามที่หนึ่งของไทเลอร์ คือ
มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา
เพราะว่าหลักสูตรต้องวางแผนให้มีเนื้อหาครบคลุมในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และต้องเรียน ก่อนกำหนดจุดประสงค์ จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลผู้เรียน ข้อมูลสังคม
และข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อได้ข้อมูลดังกล่าวแล้ว
นำข้อมูลมาตั้งจุดประสงค์ชั่วคราว จากนั้นพิจารณาข้อมูล 2 ส่วน
ได้แก่ ปรัชญา และทฤษฏีการเรียนรู้ เพื่อกำหนดเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง
คำที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดจุดประสงค์ของการศึกษาของโรงเรียน คือ ความมุ่งหมาย
(Aims) จุดหมาย (Goals) และจุดมุ่งหมาย
(Objectives) จึงอธิบายได้เป็นแผนภาพ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบ (Design) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน (Learner) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สองของไทเลอร์
คือ มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด
เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา เพราะว่าหลักสูตรต้องออกแบบมา
เพื่อให้จัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้แก่นักเรียน เมื่อได้จุดประสงค์ที่แท้จริงในการพัฒนาหลักสูตรแล้ว
จากนั้นเป็นขั้นตอนของการออกแบบหลักสูตร โดยเน้นการออกแบบเนื้อหา (Content) ประสบการณ์การเรียนรู้ หรือกิจกรรมการเรียนรู้ (Learning
Activities) ซึ่งออน สไตน์และฮันคินส์
(Ornstein และ Hunkins. 1993 : 236 –
241) และ เฮนเสน (Hensen. 2001 : 199 - 201)
กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า การออกแบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักในการพิจารณา 6
ประการดังนี้
2.1 การกำหนดขอบข่ายหลักสูตร (Scope)
คือการกำหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อประเด็นสำคัญต่างๆ แนวคิด ค่านิยม
หรือคุณธรรมที่สำคัญสำหรับผู้เรียนในรายวิชาต่างๆของแต่ละระดับชั้น
2.2 การจัดลำดับการเรียนรู้ (Sequence) คือการจัดลำดับก่อนหลังของเนื้อหา
ควรจัดลำดับจากง่ายไปยาก
2.3 ความต่อเนื่อง
(Continuity) คือการจัดเนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนรู้ ทักษะต่างๆให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
2.4 ความสอดคล้องเชื่อมโยง
(Articulation) คือเนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกันสอดคล้องเชื่อมโยงกันได้
แม้ต่างวิชากันก็ตาม
2.5 การบูรณาการ (Integration)
คือการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น
หรือจากรายวิชาหนึ่งไปอีกรายวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกัน
2.6 ความสมดุล (Balance) คือความสมดุลของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้
และทักษะของรายวิชาต่างๆ
ที่สำคัญคือความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
เมื่อได้หลักพิจารณาทั้ง 6
ประการข้างต้นแล้ว จากนั้นพิจารณารูปแบบของการออกแบบหลักสูตร ดังนี้
1. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Subject-centered
Designs)
•
หลักสูตรแบบรายวิชา (subject design)
•
หลักสูตรแบบสาขาวิชา (discipline design)
•
หลักสูตรหมวดวิชา (broad fields design)
•
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (correlation design)
•
หลักสูตรเน้นกระบวนการ (process design)
2. การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (learner-centered
designs)
•
หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs)
•
หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience – centered
designs)
•
หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical designs)
•
หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs)
3. การออกหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ (problem-centered designs)
•
หลักสูตรเน้นสถานการณ์ของชีวิต (life – situations designs)
•
หลักสูตรแกน (core designs)
•
หลักสูตรเน้นปัญหาและปฏิรูปสังคม (social problems and reconstructionist
designs)
วิเคราะห์คุณลักษณะของผู้เรียนในด้านสี่เสาหลักการศึกษา
1.
การเรียนเพื่อรู้ )Learning to
know)
2.
การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to do )
3.
การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น (Learning to live together)
4.
การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to be)
นอกจากนั้นแล้วต้องยึดหลัก 2(3R) 7C ดังนี้
Ø 3R ได้แก่ Reading (อ่านออก),
wRiting (เขียนได้) , aRithmetics (คิดเลขเป็น)
3R โดย อ. ดร.สุเทพ อ่วมเจริญ ได้แก่ Relevancy (ความสอดคล้อง) Relationship (สัมพันธภาพ) และ Rigor (ความเคร่งครัด)
Ø 7C (ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21)
ได้แก่
1. Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ
ทักษะในการแก้ปัญหา)
2. Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์
และนวัตกรรม)
3. Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม
ต่างกระบวน-ทัศน์)
4. Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีม
และภาวะผู้นำ)
5. Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร
สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
6. Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์
และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
7. Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
จากกแนวคิดนำการเรียนรู้เรื่อง
“สี่เสาหลักการศึกษา” คุณลักษณะของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 [3 R’s x 7 C’s และมาตรฐานสากล]
มาออกแบบหลักสูตรได้ดังนี้
1. กำหนดปรัชญา มโนทัศน์ เป้าประสงค์
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และมาตรฐานของหลักสูตร
2. การวิเคราะห์ความต้องการและความต้องการจำเป็นจากแนวคิดดังกล่าว
3. จัดกลุ่มประสบการณ์/เนื้อหา
4. จัดโครงสร้างหลักสูตรและโครงสร้างรายวิชา
5. วางแผนการจัดการเรียนรู้และการจัดการเรียนการสอน
6. กำหนดวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และการนำหลักสูตรไปใช้
ขั้นตอนที่ 3 คือ การจัดการหลักสูตร (Organize) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยผู้เรียน
(Learner), ความรู้ (Knowledge) และสังคม (Society) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สามของไทเลอร์
คือจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
เพราะว่าการจัดการหลักสูตรให้ได้ประสิทธิภาพ คือ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิ
เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้และบรรลุวัตถุประสงค์พร้อมกับสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการอยู่ในสังคม
การออกแบบประสบการณ์การเรียนการสอนเป็นขั้นตอนกระบวนการหลักสูตรที่ต้องอาศัย
การคิด พิจารณา และตัดสินใจ เพื่อการวางแผนสร้าง หรือจัดประสบการณ์
ให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจำเป็นพิจารณาจากหัวข้อต่อไปนี้
สิ่งที่จำเป็นต้องศึกษาข้อมูล ดังนี้
·
ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
·
ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนช่วงชั้น
·
วิเคราะห์หลักสูตร
·
ศึกษาธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
·
ศึกษาการวัดผลและการประเมินผล
·
ศึกษาแหล่งเรียนรู้และสื่อ
·
ศึกษาองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
· ศึกษาเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย
· ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้
· จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
หลักในการจัดทำแผนการสอน
ดังนี้
· ควรรู้ว่าสอนเพื่ออะไร
· ใช้วิธีการสอนอย่างไร
· สอนแล้วผลเป็นอย่างไร
องค์ประกอบของแผนการสอน
·
สาระสำคัญ (Concept) เป็นความคิดรวบยอดหรือหลักการของเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เกิดกับนักเรียน
เมื่อเรียนตามแผนกาสอนแล้ว
·
จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) เป็นการกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน
เมื่อเรียนจบตามแผนการสอนแล้ว
·
เนื้อหา (Content) เป็นเนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
·
กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการสอนขั้นตอนหรือกระบวนการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งนำไปสู่จุดประสงค์ที่กำหนด
·
สื่อและอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นสื่อ
และอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรม การเรียนการสอน ที่กำหนดไว้ในแผนการสอน
·
การวัดผลและประเมินผล (Measurement and
Evaluation) เป็นการกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการวัดและประเมินผล
ว่านักเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามที่ระบุไว้ในกิจกรรมการเรียนการสอน แยกเป็นก่อนสอน
ระหว่างสอน และหลังสอน
ขั้นตอนที่ 4 คือ การประเมิน (Evaluate) ซึ่งจะเห็นว่ากำกับด้วยสังคม
(Society) และจะสอดคล้องกับคำถามที่สี่ของไทเลอร์ คือ
ประเมินประสิทธิ์ผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร เพราะว่าการประเมินผลการเรียน
ความรู้และการจัดการเรียนการสอนจะทำให้นักเรียนได้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในสังคม
แผนภาพการประเมินหลักสูตร
จากแผนภาพการประเมินหลักสูตรจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1.
การประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ จะเป็นการประเมินเอกสารหลักสูตร
ตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆว่าจุดหมาย จุดประสงค์ โครงสร้างเนื้อหาสาระ และวิธีการวัดและประเมินผลนักเรียนมีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตร
เหมาะกับการนำไปปฏิบัติหรือไม่ โดยจะทำการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ
2.
การประเมินหลักสูตรระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตร
จะเป็นการประเมินการนำไปใช้ว่านำไปใช้ได้ดีกับสถานการณ์จริงเพียงใด การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรทำอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอะไรในการใช้หลักสูตรเพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นและสามารถใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
ซึ่งประกอบด้วยสัมฤทธิผลทางวิชาการและสัมฤทธิ์ผลที่ไม่ใช่ทางวิชาการ
ซึ่งเมื่อพบข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ในทันที
3.
การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตรจะเป็นการประเมินระบบหลักสูตร คือ
การประเมินที่ลึกล้ำและจะประเมินอย่างละเอียดกับทุกๆองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
เพื่อเป็นการประเมินว่าหลักสูตรนี้ดีจริง สามารถนำไปใช้ได้จริง มีข้อผิดพลาดตรงนี้
ต้องแก้ไขอย่างนี้ ถือเป็นการประเมินที่สมบูรณ์และครอบคลุมมากที่สุด
การออกแบบหลักสูตร
ชื่อหลักสูตร หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับครู
ความสำคัญ
กฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” “ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน
คือ ภาษาอังกฤษ” ภาษาอังกฤษ ในฐานะภาษาสำคัญของโลกในปัจจุบัน
คือ ภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของมนุษยชาติ
เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ
เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม
ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษา
ต่างวัฒนธรรม ทุกคนจําเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต
เมื่ออาเซียนกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น “working
language” เราจึงต้องเข้าใจตามความหมายของถ้อยคำที่ว่า
เป็น “ภาษาทำงาน” ของทุกคนในอาเซียน ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวกับอาเซียน ทำงานในอาเซียน ทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน
มีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน แสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน มีเพื่อนในอาเซียน
และเดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน
เมื่อประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งสมาชิกที่กำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้ ภาษาอังกฤษยิ่งทบทวีความสำคัญและความจำเป็นมากขึ้น มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมได้เห็นถึงความสำคัญประการนี้
จึงมีนโยบายหลักในการพัฒนานักศึกษาเพื่อมีการวางแผนและเตรียมพร้อมพัฒนาเด็ก เยาวชน
และคนไทยให้มีคุณภาพและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่สังคมคาดหวัง ครูผู้สอนซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการถ่ายทอดความรู้เพื่อพัฒนาสังคม
ต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ใฝ่ศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา แสวงหาเทคนิควิธีสอนใหม่ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้
กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของภาษาประจำชาติและภาษาต่างประเทศ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ในสังคมอาเซียนและเวทีโลกต่อไป
วิสัยทัศน์
“มุ่งพัฒนาการศึกษาให้ผู้เรียนมีความพร้อมเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
โดยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เป็นบุคคลที่มีความรู้และทักษะพื้นฐานในการติดต่อสื่อสาร
สามารถนำความรู้ไปต่อยอด พัฒนา หรือใช้ให้เกิดประโยชน์ในวิชาชีพครูได้มากที่สุด”
พันธกิจ
1. จัดการเรียนการสอนและส่งเสริมการศึกษาให้ผู้เรียนได้รับความรู้ และทักษะด้านการสื่อสาร
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
2. เตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้สามารถนำทักษะและความรู้ที่ได้ไปใช้ในบริบทวิชาชีพครู
3. ส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในชุมชนได้
เป้าหมาย
1. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษในบริบทวิชาชีพครู
2. มีการพัฒนาสมรรถภาพในด้านการสื่อสารความหมาย การฟัง การพูด การอ่าน
และการเขียน
การจัดโครงสร้างของหลักสูตร
1. เป้าหมาย จุดมุ่งหมาย
และวัตถุประสงค์หลักสูตร
2. เนื้อหาสาระ
3. กิจกรรมการเรียนการสอน
4. การประเมินผล
ระยะเวลา
จำนวน 16
สัปดาห์
จุดหมายของหลักสูตร
ผลิตบัณฑิตด้านการสอนภาษาอังกฤษ
เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
พ.ศ. 2558 ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตให้มีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากล
กลยุทธ์ที่ 1. พัฒนาสมรรถนะด้านการใช้ภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยในระดับที่
ใช้ในการทำงานได้
2. พัฒนาสมรรถนะด้านการประกอบวิชาชีพและการทำงานข้ามวัฒนธรรม ของบัณฑิตไทย
มาตรการที่ควรพิจารณาดำเนินการ
1. ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและระบบวัดผลการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การศึกษาระดับพื้นฐานไปจนถึง ระดับอุดมศึกษา
2.
ส่งเสริมการผลิตและพัฒนาอาจารย์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ
รวมทั้ง ภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษาและ
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
เพื่อให้มีความรู้
ความเข้าใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ
2.
เพื่อให้เข้าใจวัฒนธรรม สังคมตามบริบทที่พบ
3.
เพื่อใช้กลยุทธ์ในการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา
4.
เพื่อเห็นประโยชน์ของการรู้ภาษาอังกฤษในการแสวงหาความรู้และเข้าสู่สังคม
สมรรถนะของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2.
ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้
3.
ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา
4.
ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. ภาษาอังกฤษดี
2.
ขยันหมั่นเพียร
3.
ใฝ่เรียนรู้
4.
มุ่งมั่นในการทำงาน
5.
ทันสมัย
6.
สร้างสรรค์
7.
อดทน
แผนผังการพัฒนามโนทัศน์หลักและมโนทัศน์รอง
![]() |
ความสามารถ
ทางภาษาอังกฤษ
|
ความสามารถ
ในการจัดกระบวนการเรียนรู้
|
ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา
|
ความสามารถในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
|
|||
·รู้และเข้าใจระบบเสียง
·รู้และเข้าใจคำศัพท์
·รู้และเข้าใจโครงสร้างทางไวยากรณ์
·รู้และเข้าใจหน้าที่ทางภาษา
·รู้และเข้าใจวัฒนธรรม
·ใช้ภาษาในการสื่อสารตามสถานการณ์ต่าง
ๆ
·ใช้ภาษาในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
|
·
เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ภาษา
·
เข้าใจแนวคิด ทฤษฎี วิธีสอนภาษาต่างประเทศ และกลยุทธ์การเรียนรู้
·
เข้าใจแนวการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
|
·
วิเคราะห์หลักสูตร
·
การจัดกระบวนการเรียนรู้
·
วัดและประเมินผลได้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้
|
·
พัฒนาความรู้และทักษะทางภาษาอย่างต่อเนื่อง
·
พัฒนากระบวนการเรียนการสอนของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
·
แสวงหาความรู้เพิ่มเติมให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
|
การจัดการหลักสูตร
ชื่อหลักสูตร หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับครู
บทบาทของครูและนักเรียนในกิจกรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎี
Constructivism
|
กำหนดหน่วยการเรียนรู้
ชื่อวิชา ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับครู
จำนวน 3 ชั่วโมง ต่อ 1 สัปดาห์ รวมทั้งหมด 16 สัปดาห์
หน่วยที่
|
ชื่อหน่วยการสอน (Topics)
|
จำนวนชั่วโมง
|
1
|
Welcome to English for communication
Ÿ Classroom
words
Ÿ Greeting
and introductions
Ÿ Names
and addresses
Ÿ The
alphabets
Ÿ Numbers
Ÿ Telephone
numbers
|
6
|
2
|
Your Life and Work
Ÿ Introductions
Ÿ Occupations
Ÿ Personal information
|
6
|
3
|
Your environment
Ÿ Places
Ÿ Directions
|
6
|
4
|
Your Equipment and Machine
Ÿ
Machines
Ÿ Instruction for machines
Ÿ
Suggestions
|
6
|
5
|
Your customers
Ÿ Colors and Sizes
Ÿ Clothes
|
6
|
หน่วยที่
|
ชื่อหน่วยการสอน (Topics)
|
จำนวนชั่วโมง
|
Ÿ Likes and Dislikes
Ÿ Refund and exchange
Ÿ Apologizing
|
||
6
|
Your time
Ÿ Numbers
Ÿ Times
Ÿ Days and Dates
Ÿ Schedules
|
6
|
รวม
|
36
|
ตารางการวิเคราะห์เนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
1
|
Welcome to English for Communication
• Classroom
words
• Greeting and
introductions
• Writing name
and address
|
Vocabulary
Listening
Reading
Writing
|
• บอกความหมายของคำศัพท์ สำนวนทีใช้ในห้องเรียน,
การทักทาย,แนะนำชื่อ-ที่อยู่ได้
• ฟังและทำตามคำสั่งที่ใช้ในห้องเรียนได้ถูกต้อง
• อ่านชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ได้
• เขียนชื่อ,
ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตนเองและเพื่อนได้
|
• Greetings
• Introduce friend to other
• Asking about first name and last name.
• Asking about spelling name.
• Asking about address.
Asking for the phone number.
|
Vocabulary
• Classroom words: Listen to,
Read, Talk, Repeat, Look,
Point to, Circle, Write
Expression
• What’s your
name please?
• What’s your
address?
• What’s your
phone number?
• Hi, Mark.
Nice to meet
you.
• Mark, this is
Bruno. Bruno,
this is Mark.
|
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
2
|
Your life and
Work
• Occupations
• Makes
introductions
• Exchange
personal
information
• Express
sympathy
Grammar
• The present
tense of be,
singular forms:
is, am, are
|
Vocabulary
Listening
Reading
Speaking
Writing
|
•
บอกความหมายของอาชีพต่างๆ ได้
• ฟัง
และสามารถสนทนาโต้ตอบเกี่ยวกับอาชีพ ชื่อ และ
ที่อยู่
•
อ่านข้อมูลส่วนตัวบุคคล และตอบคำถามได้
•
สนทนาโต้ตอบเรื่องชื่อ อาชีพ และที่อยู่ได้
•
เขียนข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อ อาชีพ ที่อยู่ได้
|
• Asking for and giving name, occupation,
country of origin
• Making introductions
• Introduces self
|
Vocabulary
• Occupations: a
a plumber,
a cook,
a teacher etc.
Expression
• What do you
do?
• I’m a
mechanic.
• Right now I’m
unemployed.
• Oh, I’m sorry.
• Well, Good
luck!
|
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
3
|
Your environment
• talk about places
• ask for directions
• give directions
Grammar
•The present tense of be, plural form: are
|
Listening
Reading
Speaking
Writing
|
• ฟังบทสนทนาการสอบถามบุคคล,ทิศทางแล้วสามารถตอบคำถามได้
•
อ่านป้ายประกาศรับสมัครงานและตอบคำถามได้
• สนทนาโต้ตอบการสอบถามและให้คำแนะนำเรื่องเส้นทางได้
• ดูแผนที่แล้วสามารถเขียนบรรยายเรื่องเส้นทางได้
|
• Identifies places in the community
• Initiate a conversation
• Asks for and gives directions to a place
• Expresses thanks
• Clarifying
|
Vocabulary
• Workplaces:
a hospital,
a bank,
a school etc.
• Places at
work:
a restroom,
a supply room,
an exit etc.
Expression
• Are Sandra
and Elena
here?
• Excuse me?
• Where are the restrooms?
* Thanks.
* You’re welcome etc
|
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
4
|
Your equipment and machine
• talk about
machines
• understand and
give directions
for machine
• make
suggestions
Grammar
• Suggestion with
“Let’s..”
• Imperatives
|
Listening
Reading
Writing
|
•
ฟังบทสนทนาการให้คำแนะนำการใช้อุปกรณ์เครื่องมือแล้วสามารถตอบคำถามได้
• อ่านวิธีใช้บัตรเติมเงินโทรศัพท์และตอบคำถามได้
•
ดูรูปภาพและสามารถเลือกใช้คำศัพท์เพื่อเขียนบอกวิธีการใช้เครื่องมือนั้นๆได้
|
• Identifies common home machines
• Understand and gives instructions for using
machine
|
Vocabulary
• Common
machines and
machine parts:
a telephone,
a button,
a lid etc.
• Verbs of
machine and
machine
operation:
open, close,
turn etc.
Expression
• Well, maybe
we need to
call the
manager.
• Again?
• How do I start the computer?
• Good idea.
• I don’t know.
|
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
5
|
Your customer
• colors and sizes
• problem with
clothes
• like and dislikes
• refunds and
Exchange
Grammar
• The simple
present tense
• This, That,
These and Those
|
Listening
Speaking
Reading
Writing
|
• ฟังบทสนทนาการซื้อขาย
·
สอบถามขนาด สี
และตอบคำถามได้
•
สนทนาโต้ตอบการสอบถามขนาด สี และการแลกคืน /แลกเปลี่ยนได้
•
อ่านเอกสารการชี้แจงเรื่องการแลกคืน-แลกเปลี่ยนสินค้าของบริษัทและสามารถตอบคำถามได้
•
กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มการแลกคืน-แลกเปลี่ยนของบริษัทได้
|
• Offers service.
• Responds to customer requests.
• Apologizing
• Complains about merchandise
• Fill out the merchandise return form
|
Vocabulary
• clothing: a tie, a dress, a shirt
Size: small, medium, large,: and colors: red, green, orange etc.
Expression
* I like this shirt.
• I need a uniform, please.
• Oh, I’m sorry.
• Yes, I think so.
• These pants are the wrong size.
|
หน่วยที่
(Unit)
|
เรื่อง
(Topic)
|
ทักษะ
(Skill)
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective)
|
หน้าที่ทางภาษา (Language
Function)
|
คำศัพท์/สำนวน
(Vocabulary Expression)
|
6
|
Your time
• Numbers
• Times
• Days and
Dates
• Schedules
Grammar
• Impersonal
statement with
“It’s”
• Questions
with “What
time” and
“When”
|
Listening
Speaking
Reading
Writing
|
• ฟังบทสนทนาการ สอบถามเรื่องวัน เดือน ปีและตอบคำถามได้
•
สนทนาโต้ตอบการสอบถามเรื่องวัน เดือน ปีได้
• อ่านป้ายประกาศ,ป้ายโฆษณาและตอบคำถามเรื่องวัน เดือน ปี
ได้
• เขียนตารางเวลาการทำงาน, เรียน, ส่วนตัวของตนเอง
|
*Asking for and giving times, day, and dates
*Understands work schedules
|
Vocabulary
• Times of day, month, days and year
Expression
• What time is it?
• It
is 4:20.
• What day is it?
• It is Monday.
• What month is it?
• It is June.
• What year is it?
• It is 2010.
• When does school start?
• In September
• At noon, I think.
• It
is April 15.
|
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
ชื่อหน่วย Welcome to English
for Communication หน่วยการเรียนรู้ที่ 1
เรื่อง
การทักทาย
เวลา 3 ชั่วโมง
1. สาระสำคัญ
การเรียนรู้คำศัพท์
และสำนวนที่จะใช้ในการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนระหว่างการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ อาทิเช่น listen to me, Point to the picture เป็นต้น นั้นมีความจำเป็น
เพราะการที่ครูใช้คำศัพท์ สำนวนภาษาอังกฤษในการชี้แจง
หรือสั่งการให้นักเรียนทำสิ่งใดๆ ในห้องเรียน
จะทำให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรียนเข้าใจคำศัพท์ การชี้แนะ คำสั่ง
และสำนวนการทักทาย การแนะนำ ที่ใช้ในห้องเรียน
ภาษาอังกฤษได้
2. นักเรียนสามารถระบุคำศัพท์
สำนวนที่ใช้ในห้องเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
3. นักเรียนสามารถฟัง พูด อ่านและเขียนคำศัพท์
และสำนวนการทักทายและแนะนำได้ถูกต้อง
3. คุณลักษณะที่พึงประสงค์
Ÿ ความมีมนุษย์สัมพันธ์
4.
สาระการเรียนรู้
Skill : Listening , Speaking , Reading , Writing
Vocabulary : Listen to, Read, Talk, Repeat after, Look
at, Point to,
Circle, Write, a number, a letter, a
word, a sentence, a
picture, a book, a teacher, a
class, a partner, classmates
Numbers :
zero, one, two, three, four, five, six, seven, eight, nine, ten,
eleven, twelve, thirteen, fourteen
fifteen, sixteen,
eighteen, nineteen, twenty,thirty,
forty, fifty, sixty,
seventy, eighty, ninety, one hundred
Function
: 1.Greetings, introduce friend to other
2. Asking about first name and last name
3. Asking
about spelling name
4. Asking about address
5. Asking for the phone number
Culture : การจับมือทักทายตามวัฒนธรรมชาติตะวันตก
5.กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรม (3 ชั่วโมง(
1.
ครูและนักเรียนทักทายเป็นภาษาอังกฤษ
2.
ครูแจ้งให้นักเรียนทราบว่าหน่วยการเรียนรู้นี้เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและเรียนเกี่ยวกับ
Classroom language , Number
,การทักทายอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ, การแนะนำตนเองและบุคคลอื่น
3.
แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ
4 – 5 คน
4.
ให้แต่ละกลุ่มกำหนดสถานการณ์ ฝึกพูดบทสนทนา การทักทายอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ, การแนะนำตนเองและบุคคลอื่น
5.
ให้นักเรียนช่วยกันสรุปคำศัพท์ และโครงสร้างประโยคการทักทาย การแนะนำตนเองและบุคคลอื่น
6.
เขียนบทสนทนาลงในใบกิจกรรม
6. สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้
1. บทสนทนา
2. ใบความรู้
7. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
หลักฐาน
1.
ใบความรู้
วิธีการประเมิน
1.
ตรวจใบงาน
2.
ตรวจความถูกต้องของคำศัพท์และประโยค
3.
สังเกตการพูดโต้ตอบตามสถานการณ์ต่างๆ
เครื่องมือวัด
1.แบบประเมินทักษะการฟัง
พูด อ่าน และเขียน
การประเมินหลักสูตร
ชื่อหลักสูตร หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับครู
แผนการประเมินหลักสูตร มีดังนี้
1.
การประเมินหลักสูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้
1.1.
กำหนดจุดมุ่งหมายการประเมินหลักสูตร
1.2.
วางแผนดำเนินการประเมิน
1.3.
ทดลองใช้หลักสูตรฉบับร่าง
1.4.
การประเมินการทดลองใช้และนำผลการวิเคราะห์มาเพื่อปรับปรุงหลักสูตรก่อนนำไปใช้จริง
2.
การประเมินหลักสูตรระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตร
2.1.
การประเมินผลระหว่างโครงการ (Formative Evaluation)
2.2.
การประเมินผลสรุป (Summative
Evaluation)
3.
การประเมินหลักสูตรหลังนำหลักสูตรไปใช้
3.1.
การประเมินระบบการจัดการเรียนการสอน
3.2.
การประเมินระบบการบริหารหลักสูตร
3.3.
การประเมินระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
3.4.
การประเมินความสัมพันธ์สอดคล้องของระบบหลักสูตร
การประเมินผล
การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ : SOLO Taxonomy

การกำหนดค่าระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ตาม
SOLO Taxanomy
ระดับคุณภาพผลการเรียนรู้
ตาม SOLO Taxonomy
|
ค่าระดับคุณภาพผลการเรียนรู้
|
คุณลักษณะพฤติกรรม
ตามจุดประสงค์การเรียนรู้
|
1. ระดับโครงสร้างพื้นฐาน
|
1
|
ในระดับนี้ผู้เรียนจะยังคงไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริง
และยังคงใช้วิธีการง่ายๆในการทำความเข้าใจสาระเนื้อหา เช่น
ผู้เรียนรับทราบแต่ยังคงพลาดประเด็นที่สำคัญ
|
2. ระดับโครงสร้างเดี่ยว
|
2
|
การตอบสนองของผู้เรียนจะมุ่งไปที่มุมมองที่เกี่ยวข้องเพียงมุมมองเดียว
เช่น สามารถระบุชื่อได้ จำได้ และทำตามคำสั่งง่ายๆได้
|
3. ระดับโครงสร้างหลากหลาย
|
3
|
การตอบสนองของผู้เรียนจะมุ่งเน้นไปที่หลายๆมุมมองโดยการปฏิบัติต่อผู้เรียนจะเป็นไปอย่างอิสระ
เช่น สามารถอธิบายได้ ยกตัวอย่างได้ หรืออาจเชื่อมโยงได้
|
4. ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง
|
4
|
การตอบสนองของผู้เรียนจะมุ่งเน้นไปที่หลายๆมุมมองโดยการปฏิบัติต่อผู้เรียนจะเป็นไปอย่างอิสระ
เช่น สามารถอธิบายได้ ยกตัวอย่างได้ หรืออาจเชื่อมโยงได้
|
5. ระดับแสดงความต่อเนื่องในโครงสร้างภาคขยาย
|
5
|
จากขั้นบูรณาการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน
จากนั้นจึงมาสู่การสร้างเป็นแนวคิดนามธรรมขั้นสูงหรือการสร้างทฤษฎีใหม่ เช่น
การสร้างสรรค์ สะท้อนแนวคิด สร้างทฤษฏีใหม่ เป็นต้น
|
SOLO Taxonomy คือรูปแบบโครงสร้างที่อธิบายระดับความเพิ่มขึ้นของความเข้าใจของนักเรียนซึ่งถูกนำเสนอโดยJohn B. Biggs และ K. Collis ประกอบด้วย5ระดับของความเข้าใจคือ
ü Prestructutal –นักเรียนไม่เข้าใจจุดประสงค์และใช้วิธีการที่ง่ายเกินไป
ü Unistructural – การตอบสนองของนักเรียนมุ่งเน้นเพียงด้านเดียว
ü Multistructural – การตอบสนองของนักเรียนมุ่งเน้นในหลายด้านแต่พวกเขาจะเติมแต่งโดยตัวของพวกเขาเองการประเมินในระดับนี้จะยึดการประเมินในเชิงปริมานเป็นหลัก
ü Relational– นักเรียนสามารถตอบสนองในการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ü extended – นักเรียนสามารถนำความรู้ก่อนหน้ามาเชื่อมโยงและสร้างความคิดใหม่
การประเมิน (assessment)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรมีหลายรูปแบบได้แก่รูปแบบของราล์ฟดับเบิลยูไทเลอร์ รูปแบบของ สเตค รูปแบบของโพรวัส
รูปแบบของฟายเตลตาแคบปา
และรูปแบบของครอนบาซ
การประเมินแต่ละรูปแบบจะมีรายละเอียดและจุดเน้นของการประเมินแตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับแนวคิดของผู้ออกแบบการประเมินทั้งนี้ในการนำไปใช้จะมีวัตถุประสงค์ไปในทิศทางเดียวกันคือเพื่อใช้พิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่ามีคุณค่าดีมากน้อยเพียงใดสมควรจะนำหลักสูตรไปใช้ต่อหรือยกเลิกการใช้หลักสูตรนั้นรวมถึงการนำข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นดังนั้นในการเลือกรูปแบบการประเมินหลักสูตรรูปแบบใดไปใช้จะขอยกตัวอย่างเพียงหนึ่งรูปแบบคือการประเมินแบบซิป(CIPP Model)
การประเมินแบบซิป (CIPP Model) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลข้อมูลหรือสารสนเทศเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจหาทางเลือกที่เหมาะสมในการประเมินนั้นมุ่งประเมินจากสิ่งที่ประเมิน4ประการ
1.
สภาวะแวดล้อม (context) เพื่อพัฒนาจุดมุ่งหมาย
2. ปัจจัยเบื้องต้น (input) เพื่อออกแบบ
3. กระบวนการ (process) เพื่อประเมินขั้นตอนในการดำเนินการ
4. ผลผลิต (product) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์
2. ปัจจัยเบื้องต้น (input) เพื่อออกแบบ
3. กระบวนการ (process) เพื่อประเมินขั้นตอนในการดำเนินการ
4. ผลผลิต (product) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์
การประเมินกระบวนการจำเป็นต้องได้รับการเตรียมการเพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้รับผิดชอบและผู้ดำเนินการทุกลำดับขั้นการประเมินกระบวนการมีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ
1. เพื่อหาและทำนายข้อบกพร่องของกระบวนการหรือการดำเนินการตามขั้นตอนที่วางไว้
2. เพื่อรวบรวมสารสนเทศสำหรับผู้ตัดสินใจวางแผนงาน
3. เพื่อเป็นรายงานสะสมถึงการปฏิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น
2. เพื่อรวบรวมสารสนเทศสำหรับผู้ตัดสินใจวางแผนงาน
3. เพื่อเป็นรายงานสะสมถึงการปฏิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น
บรรณานุกรม
วิชัย วงษ์ใหญ่. (2521) การพัฒนาหลักสูตรและการสอน กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองธรรม.
สุเทพ อ่วมเจริญ ประเสริฐ มงคล และวัชรา เล่าเรียนดี (2555).
รายงานการวิจัย การพัฒนาการสอน
วิชา “การพัฒนาหลักสูตร” สำหรับนักศึกษาบัณฑิตศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิยาลัยศิลปากร
Beauchamp,
George. A. (1975) Curriculum Theory.
Itasca, Illinois : F.E Peacock Publisher
Bobbitt,J.
F. (1918) The Curriculum, Boston: Houghton Mifflin. Retrieved February
23,2012
Helgesen, Marc. et al. (1999). English
Firsthand 1. Hong Kong ,Longman.
Kahny, Jim. et al. (2000). First Hand
Success Beginners’course 2. HongKong , Longman.
Potten, Heather and Potten, Jonathan. (2001). Clockwise.
Elementary. Oxford , Oxford University
Press.
Rost,
Micheal. et al. (2002). English Express 1. Hong Kong ,Longman.
Saslo, Joan and Cooins, Tim. (2002). Workplace
Plus1. Longman.
Saylor,J.G.
and W.M. Alexander. (1974). Planning Curriculum For School. New York : Holt,
Rinehart
and Wiston.
Taba,
Hilda.(1962). Curriculum Development: Theory and practice. New York:
Harcourt Brace and
World.
Tyler,
R. W. (1949) Basic Principles of Curriculum and Instruction. Chicago:
University of Chicago
Press.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น