วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Journal#9


เรื่อง การคิดบวก

วันที่ 20 ตุลาคม 2557

 
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.ประเสริฐ มงคล และ รศ.ดร. สุเทพ อ่วมเจริญ ที่เคารพรักยิ่ง

ในโลกใบนี้มีอะไรแปลกประหลาดให้น่าฉงนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องที่ดูๆ แล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว อย่างเช่นเรื่องของ นิค วูจิซิค (Nick Vujicic) ชาวออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 ปัจจุบันอายุ 29 ปี พ่อแม่เป็นชาวเซอร์เบีย นิค เกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินทางรอบโลก เพื่อพูดกับเด็กวัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ โดยใช้ตัวเองเป็นบทเรียนสร้างแรงบันดาลใจ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่มาฟังเขาพูด คลิปวีดีโอของเขาถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก มีคนดูหลายแสนคน การไม่ยอมจำนนต่อความบกพร่องต่อร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดหรือทัศนคติของเขาและครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นการลงมือทำตามความเชื่อ การใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติทั่วไป เรียนหนังสือจนจบ และทำงานด้วยการใช้ตัวเองเป็นบทเรียน สร้างกำลังใจแด่คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง

สำหรับเมืองไทยเรื่องของคนขาดโอกาสแบบ นิค มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย หรือไม่ เราทุกคนล้วนแต่เคยมีวันที่แย่ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายหรือช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราจะพบทางออกดี ๆ ได้อย่างไร ถ้าอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจ หมกมุ่นอยู่กับความคิดเชิงลบและไม่มีความสุข  การกล่าวโทษตนเองหรือโยนความผิดให้คนอื่นมีแต่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง แม้ว่าการคิดเชิงบวกจะไม่สามารถทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นหายไป แต่ด้วยทัศนคติเชิงบวกเราจะสามารถปรับปรุงสถานการณ์และควบคุมสภาวะของจิตใจ ปฏิกิริยาและพฤติกรรมของตนเองได้ดียิ่งขึ้น และสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเกินไป คนที่คิดบวกเป็น จึงมีความสุขมากกว่า และเจ็บปวดทุกข์ใจน้อยกว่า    

เคล็ดลับ 7 ประการ ในการคิดบวก

แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงกันมากเกี่ยวกับความคิดเชิงบวก แต่น้อยคนที่เข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ การคิดบวกไม่ได้หมายถึงการไม่สนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวและฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่กับความคิดบวกที่ล่องลอยในอากาศ  การฝืนยิ้มและบอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะดีแล้ว การละเลยปัญหาและความยุ่งยากต่าง ๆ โดยไม่ได้ใช้พยายามที่จะแก้ปัญหา วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่การคิดเชิงบวก คนที่คิดเชิงบวกไม่เพียงคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด และเชื่อว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายจะดีขึ้น แต่จะต้องลงมือปฏิบัติด้วยการมองหาโอกาสในการแก้ไขปัญหานั้น ในภาวะปกติที่สุขสบายอาจเป็นการง่ายที่จะคิดบวก แต่การคิดบวกไม่ง่ายเลยเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่ร้ายแรงต่าง ๆ นอกเสียจากผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว เพราะการคิดเชิงบวกนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับทักษะอื่น ๆ คือ ต้องมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีการฝึกฝนจนคล่องแคล่ว เทคนิคในการคิดบวกนั้นมีหลากหลายแนวทาง ดิฉันขอเสนอเคล็ดลับ 7 ประการ จากบทความเรื่อง Positive Thinking: 7 Easy Ways to Improve a Bad Day สำหรับการคิดเชิงบวก ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นวิธีง่าย ๆ แต่หากลองนำไปใช้ปฏิบัติจะพบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

·                จำไว้เสมอว่า เวลาคือของขวัญล้ำค่า บางวันบางเวลาดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่  แต่ชีวิตคนเรานั้นประกอบด้วยช่วงเวลาสั้น ๆ มากมาย และแต่ละช่วงเวลาให้โอกาสเราในการเลือกที่จะมองในมุมที่ดีหรือมุมที่เลวร้าย  การยึดติดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต ถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วนั้น เราไม่สามารถจะตามไปแก้ไขอะไรได้  พึงระลึกเสมอว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่เปิดโอกาสสำหรับสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต ความผิดพลาดในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าคุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ บางเรื่องราวหรือบางคนอาจทำให้เราโกรธหรือเครียดมากเมื่อวันก่อน ครั้นมาวันนี้เราอาจลืมเรื่องราวหรือคน ๆ นั้นไปแล้วก็ได้  อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เพียงเรื่องเดียวมาควบคุมชีวิตของคุณ จงเรียนรู้ที่จะมองข้ามช่วงเวลาที่ผิดหวังหรือทุกข์ใจ ให้เห็นโอกาสอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า

·                ดึงตัวเองให้หลุดออกจากความทุกข์  ในวันแย่ ๆ หากอยู่ในห้องทึบทึมที่อบอวลไปด้วยความคิดแง่ลบ ด้วยบรรยากาศที่ขุ่นมัวแบบนี้ จะทำให้ความคิดของเราหยุดนิ่ง และจมดิ่งลงสู่​​ทัศนคติเชิงลบทั้งหลาย ซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก  ดังนั้น หากพบว่าตัวเองชักจะจมปลักอยู่กับความท้อแท้ผิดหวัง อย่าปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับความทุกข์ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะมืดมนเพียงใด คุณก็สามารถทำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ เช่น รับประทานไอศกรีมอร่อย ๆ สักถ้วย  อ่านข้อความที่ให้กำลังใจ โทรศัพท์ไปหาเพื่อนหรือคนที่คุณรัก ออกไปเดินเล่น ปลูกต้นไม้สักต้น ฯลฯ ไม่สำคัญว่าสิ่งดี ๆ นั้นจะเป็นอะไร ขอเพียงแต่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น และจะช่วยดึงให้หลุดออกจากบรรยากาศที่ทำให้เกิดความคิดแง่ลบ เมื่อถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้นสักระยะหนึ่ง แล้วมองย้อนกลับเข้าไปใหม่ อาจช่วยให้คุณมองเห็นทางออกของปัญหาเหล่านั้นก็ได้

·                ตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก  ลองมองหาสิ่งที่ง่าย ๆ ที่อยู่ในความสามารถที่จะทำได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น เช่น หากมีปัญหาในการทำงาน ลองมองดูศักยภาพที่มีอยู่ในตนเอง แล้วเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยาก หยิบมาทำก่อน เพื่อช่วยให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า มีทางเป็นไปได้มากขึ้น

·                เปลี่ยนมุมมองเป็นแง่บวก  เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มหมกมุ่นอยู่กับความคิดเชิงลบ ให้รีบถอนตัวออกมาทันที และเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ โดยมองปัญหาในอีกด้าน มองเรื่องแย่ ๆ ให้เป็นแง่บวก การมีรอยยิ้มและอารมณ์ขัน จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้มาก  จงยิ้มและหัวเราะให้กับเรื่องเครียด ที่เจอ โดยมองว่า ชีวิต คือ การเรียนรู้ ทุกประสบการณ์ล้วนเป็นครูสอนเราให้แข็งแกร่งขึ้น  ดังนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ทั้งหมด  อย่างไรก็ตาม การจะเปลี่ยนมุมมองให้คิดบวกจนติดเป็นนิสัยนั้น ต้องอาศัยความกล้าและความอดทนฝึกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติเชิงบวก แล้วเราจะพบเห็นโอกาสต่าง ๆ อีกมากมาย ให้เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า และควบคุมชีวิตตัวเองไปในทางบวกได้ตามที่คิด

·               ขอบคุณสิ่งดี ๆ ในชีวิต  เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จงเริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยการคิดถึงสิ่งดี ๆ อย่างน้อย 5 สิ่ง ที่คุณรู้สึกขอบคุณ และทำเช่นนี้อีกครั้งในเวลากลางคืนก่อนนอน โดยคิดถึงอีก 5 สิ่ง ที่คุณรู้สึกชื่นชมและขอบคุณ  ซึ่งอาจเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย  ๆ ที่คุณทำได้ในแต่ละวันก็ได้ แล้วคุณจะพบว่าเรื่องดี ๆ มีมากกว่าเรื่องแย่ ๆ ตั้งมากมาย  

·                หยุดคิดในแง่ลบ  ข้อนี้อาจดูเหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก การหยุดความคิดในแง่ลบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ถามตัวเองว่า เหตุการณ์นี้จะมีความสำคัญกับตัวเราไปตลอดทั้งปีเลยหรือไม่?” ถ้าไม่ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลหรืออารมณ์เสียมากมายไปกับสิ่งนั้น แต่ถ้าคำตอบ คือ ใช่ ลองพิจารณาดูว่ามีขั้นตอนใดบ้างที่จะสามารถทำได้ในขณะนี้ เพื่อปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น

·                ลงมือทำตามคำแนะนำของตัวเอง  ลองสมมติว่าหากมีเพื่อนสนิทมาหาคุณ เพื่อขอคำแนะนำในปัญหาหรือสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่  คุณจะให้คำแนะนำแก่เขาอย่างไร โดยทั่วไปเรามักจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นนั้นคืออะไรเพียงแต่ต้องเริ่มที่จะลงมือทำสิ่งนั้น แทนที่จะเฝ้ารอบางคนหรือบางสิ่งบางอย่างให้มาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตัวเราเอง

สรุปได้ว่าเมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้น สิ่งแรกต้องมี สติ ไม่วิตกกังวล เพื่อทำให้มีสมาธิ มองปัญหาให้ออกว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร หาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ หาสาเหตุและแนวทางแก้ไขโดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมุมมองของท่านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการแก้ไขปัญหาและการที่จะเลือกมองมุมใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักอยู่สองประการคือ หนึ่ง สภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ ณ ขณะนั้น สอง ควรฝึกฝนจนสามารถมองอะไรเป็นแง่บวกโดยถ้าท่านหมั่นฝึกฝนจนมีความชำนาญ นอกจากปัญหาที่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายแล้วชีวิตของท่านก็จะมีความสุขแน่นอน

 

 

 

 

 

ด้วยความเคารพยิ่ง

นางสาวกัญญาภัทร  แสงแป้น รหัสประจำตัว 57254902

นักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน กลุ่มวิชาการสอนภาษาอังกฤษ

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น