เรื่อง การคิดบวก
วันที่ 20 ตุลาคม 2557
เรียน
ท่านอาจารย์ ดร.ประเสริฐ มงคล และ รศ.ดร. สุเทพ อ่วมเจริญ ที่เคารพรักยิ่ง
ในโลกใบนี้มีอะไรแปลกประหลาดให้น่าฉงนอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะเรื่องที่ดูๆ แล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว อย่างเช่นเรื่องของ นิค
วูจิซิค (Nick Vujicic) ชาวออสเตรเลีย
เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 ปัจจุบันอายุ
29 ปี พ่อแม่เป็นชาวเซอร์เบีย นิค เกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง
มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น เขาเรียนจบทางบัญชี
และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินทางรอบโลก เพื่อพูดกับเด็กวัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ
ไม่พอใจ โดยใช้ตัวเองเป็นบทเรียนสร้างแรงบันดาลใจ
สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่มาฟังเขาพูด คลิปวีดีโอของเขาถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
มีคนดูหลายแสนคน การไม่ยอมจำนนต่อความบกพร่องต่อร่างกาย
ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดหรือทัศนคติของเขาและครอบครัวเท่านั้น
แต่เป็นการลงมือทำตามความเชื่อ การใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติทั่วไป เรียนหนังสือจนจบ
และทำงานด้วยการใช้ตัวเองเป็นบทเรียน สร้างกำลังใจแด่คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง
สำหรับเมืองไทยเรื่องของคนขาดโอกาสแบบ นิค
มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย หรือไม่ เราทุกคนล้วนแต่เคยมีวันที่แย่ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายหรือช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราจะพบทางออกดี ๆ
ได้อย่างไร ถ้าอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง หมดกำลังใจ
หมกมุ่นอยู่กับความคิดเชิงลบและไม่มีความสุข
การกล่าวโทษตนเองหรือโยนความผิดให้คนอื่นมีแต่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง
แม้ว่าการคิดเชิงบวกจะไม่สามารถทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นหายไป แต่ด้วยทัศนคติเชิงบวกเราจะสามารถปรับปรุงสถานการณ์และควบคุมสภาวะของจิตใจ
ปฏิกิริยาและพฤติกรรมของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
และสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเกินไป คนที่คิดบวกเป็น
จึงมีความสุขมากกว่า และเจ็บปวดทุกข์ใจน้อยกว่า
เคล็ดลับ 7 ประการ ในการคิดบวก
แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงกันมากเกี่ยวกับความคิดเชิงบวก
แต่น้อยคนที่เข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
การคิดบวกไม่ได้หมายถึงการไม่สนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวและฝันลม ๆ แล้ง ๆ
อยู่กับความคิดบวกที่ล่องลอยในอากาศ
การฝืนยิ้มและบอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะดีแล้ว การละเลยปัญหาและความยุ่งยากต่าง
ๆ โดยไม่ได้ใช้พยายามที่จะแก้ปัญหา วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่การคิดเชิงบวก
คนที่คิดเชิงบวกไม่เพียงคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด
และเชื่อว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายจะดีขึ้น แต่จะต้องลงมือปฏิบัติด้วยการมองหาโอกาสในการแก้ไขปัญหานั้น
ในภาวะปกติที่สุขสบายอาจเป็นการง่ายที่จะคิดบวก
แต่การคิดบวกไม่ง่ายเลยเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่ร้ายแรงต่าง ๆ
นอกเสียจากผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว เพราะการคิดเชิงบวกนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับทักษะอื่น
ๆ คือ ต้องมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีการฝึกฝนจนคล่องแคล่ว เทคนิคในการคิดบวกนั้นมีหลากหลายแนวทาง
ดิฉันขอเสนอเคล็ดลับ 7 ประการ จากบทความเรื่อง “Positive
Thinking: 7 Easy Ways to Improve a Bad Day” สำหรับการคิดเชิงบวก ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นวิธีง่าย
ๆ แต่หากลองนำไปใช้ปฏิบัติจะพบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
·
จำไว้เสมอว่า “เวลาคือของขวัญล้ำค่า บางวันบางเวลาดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่
แต่ชีวิตคนเรานั้นประกอบด้วยช่วงเวลาสั้น ๆ มากมาย
และแต่ละช่วงเวลาให้โอกาสเราในการเลือกที่จะมองในมุมที่ดีหรือมุมที่เลวร้าย การยึดติดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต
ถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วนั้น
เราไม่สามารถจะตามไปแก้ไขอะไรได้ พึงระลึกเสมอว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่เปิดโอกาสสำหรับสิ่งดี
ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต
ความผิดพลาดในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าคุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ บางเรื่องราวหรือบางคนอาจทำให้เราโกรธหรือเครียดมากเมื่อวันก่อน
ครั้นมาวันนี้เราอาจลืมเรื่องราวหรือคน ๆ นั้นไปแล้วก็ได้ อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เพียงเรื่องเดียวมาควบคุมชีวิตของคุณ จงเรียนรู้ที่จะมองข้ามช่วงเวลาที่ผิดหวังหรือทุกข์ใจ
ให้เห็นโอกาสอีกมากมายที่รออยู่ข้างหน้า
·
ดึงตัวเองให้หลุดออกจากความทุกข์ ในวันแย่ ๆ
หากอยู่ในห้องทึบทึมที่อบอวลไปด้วยความคิดแง่ลบ ด้วยบรรยากาศที่ขุ่นมัวแบบนี้
จะทำให้ความคิดของเราหยุดนิ่ง และจมดิ่งลงสู่ทัศนคติเชิงลบทั้งหลาย ซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก
ดังนั้น หากพบว่าตัวเองชักจะจมปลักอยู่กับความท้อแท้ผิดหวัง
อย่าปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับความทุกข์ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะมืดมนเพียงใด คุณก็สามารถทำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้
เช่น รับประทานไอศกรีมอร่อย ๆ สักถ้วย อ่านข้อความที่ให้กำลังใจ โทรศัพท์ไปหาเพื่อนหรือคนที่คุณรัก
ออกไปเดินเล่น ปลูกต้นไม้สักต้น ฯลฯ ไม่สำคัญว่าสิ่งดี ๆ นั้นจะเป็นอะไร
ขอเพียงแต่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น
และจะช่วยดึงให้หลุดออกจากบรรยากาศที่ทำให้เกิดความคิดแง่ลบ
เมื่อถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้นสักระยะหนึ่ง แล้วมองย้อนกลับเข้าไปใหม่
อาจช่วยให้คุณมองเห็นทางออกของปัญหาเหล่านั้นก็ได้
·
ตั้งเป้าหมายในสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก ลองมองหาสิ่งที่ง่าย ๆ ที่อยู่ในความสามารถที่จะทำได้
เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น เช่น หากมีปัญหาในการทำงาน
ลองมองดูศักยภาพที่มีอยู่ในตนเอง แล้วเริ่มต้นจากเป้าหมายเล็ก ๆ
ที่สามารถทำได้ไม่ยาก หยิบมาทำก่อน เพื่อช่วยให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า มีทางเป็นไปได้มากขึ้น
·
เปลี่ยนมุมมองเป็นแง่บวก
เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มหมกมุ่นอยู่กับความคิดเชิงลบ ให้รีบถอนตัวออกมาทันที
และเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ โดยมองปัญหาในอีกด้าน มองเรื่องแย่ ๆ ให้เป็นแง่บวก
การมีรอยยิ้มและอารมณ์ขัน จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้มาก
จงยิ้มและหัวเราะให้กับเรื่องเครียด ที่เจอ โดยมองว่า “ชีวิต คือ การเรียนรู้ ทุกประสบการณ์ล้วนเป็นครูสอนเราให้แข็งแกร่งขึ้น”
ดังนั้น
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม
การจะเปลี่ยนมุมมองให้คิดบวกจนติดเป็นนิสัยนั้น
ต้องอาศัยความกล้าและความอดทนฝึกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี
มีทัศนคติเชิงบวก แล้วเราจะพบเห็นโอกาสต่าง ๆ อีกมากมาย ให้เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า
และควบคุมชีวิตตัวเองไปในทางบวกได้ตามที่คิด
·
ขอบคุณสิ่งดี ๆ ในชีวิต
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
จงเริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยการคิดถึงสิ่งดี ๆ อย่างน้อย 5 สิ่ง
ที่คุณรู้สึกขอบคุณ และทำเช่นนี้อีกครั้งในเวลากลางคืนก่อนนอน โดยคิดถึงอีก 5
สิ่ง ที่คุณรู้สึกชื่นชมและขอบคุณ ซึ่งอาจเป็นความสำเร็จเล็ก
ๆ น้อย ๆ ที่คุณทำได้ในแต่ละวันก็ได้ แล้วคุณจะพบว่าเรื่องดี ๆ
มีมากกว่าเรื่องแย่ ๆ ตั้งมากมาย
·
หยุดคิดในแง่ลบ
ข้อนี้อาจดูเหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก
การหยุดความคิดในแง่ลบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ถามตัวเองว่า “เหตุการณ์นี้จะมีความสำคัญกับตัวเราไปตลอดทั้งปีเลยหรือไม่?”
ถ้า “ไม่” ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลหรืออารมณ์เสียมากมายไปกับสิ่งนั้น แต่ถ้าคำตอบ
คือ “ใช่” ลองพิจารณาดูว่ามีขั้นตอนใดบ้างที่จะสามารถทำได้ในขณะนี้
เพื่อปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น
·
ลงมือทำตามคำแนะนำของตัวเอง ลองสมมติว่าหากมีเพื่อนสนิทมาหาคุณ
เพื่อขอคำแนะนำในปัญหาหรือสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ คุณจะให้คำแนะนำแก่เขาอย่างไร โดยทั่วไปเรามักจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่า “สิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นนั้นคืออะไร” เพียงแต่ต้องเริ่มที่จะลงมือทำสิ่งนั้น แทนที่จะเฝ้ารอบางคนหรือบางสิ่งบางอย่างให้มาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตัวเราเอง
สรุปได้ว่าเมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้น
สิ่งแรกต้องมี สติ ไม่วิตกกังวล เพื่อทำให้มีสมาธิ มองปัญหาให้ออกว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร
หาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์
หาสาเหตุและแนวทางแก้ไขโดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมุมมองของท่านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
จะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการแก้ไขปัญหาและการที่จะเลือกมองมุมใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักอยู่สองประการคือ
หนึ่ง สภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ ณ ขณะนั้น สอง
ควรฝึกฝนจนสามารถมองอะไรเป็นแง่บวกโดยถ้าท่านหมั่นฝึกฝนจนมีความชำนาญ
นอกจากปัญหาที่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายแล้วชีวิตของท่านก็จะมีความสุขแน่นอน
ด้วยความเคารพยิ่ง
นางสาวกัญญาภัทร แสงแป้น รหัสประจำตัว 57254902
นักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน กลุ่มวิชาการสอนภาษาอังกฤษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น